หลักการเลือกเครื่องชงกาแฟ ให้เหมาะสมกับร้านของคุณ
เครื่องชงกาแฟ อุปกรณ์ที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของร้านกาแฟ หากใครที่กำลังอยากเปิดร้านกาแฟ ต้องศึกษาข้อมูล และมีความเข้าใจในเรื่องของเครื่องชงกาแฟในขั้นพื้นฐาน เพราะราคาของเครื่องชงกาแฟนั้นค่อนข้างสูง และมีวิธีการชง วิธีทำงานที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น หากร้านของท่านเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ซื้อเครื่องใหญ่มาและใช้งานไม่คุ้มค่า จะทำให้เสียต้นทุนไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง
ก่อนจะซื้อเครื่องชงกาแฟ จึงต้องศึกษาว่าควรเลือกเครื่องชงที่มีราคาเท่าไหร่ มีลักษณะการทำงานอย่างไร และคำนึงถึงร้านของเราว่าต้องใช้เครื่องที่มีฟังก์ชันเยอะหรือเปล่า ถึงจะควรเลือกเครื่องชงกาแฟที่ใช่
เครื่องชงกาแฟที่นิยมใช้
เครื่องชงกาแฟที่มักพบเห็นในร้านกาแฟส่วนใหญ่ จะเป็น Espresso Machine หรือเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักพัน ไปจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะแตกต่างกันที่วัสดุที่ใช้ ดีไซน์ และการควบคุม ความเสถียรของการชงกาแฟ รวมถึงฟังก์ชันอื่น ๆ ที่อำนวยต่อความสะดวกมากขึ้น แต่มีหลักการทำงานที่เหมือนกันคือ การใช้น้ำร้อนที่มีแรงดันไอน้ำในหม้อต้ม บังคับให้น้ำไหลผ่านกาแฟที่บดไว้ เพื่อสกัดให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้น
ประเภทของระบบเครื่องชง Espresso Machine
- หม้อต้มเดี่ยว (Single Boiler)
เครื่องชงชนิดนี้ จะมีหม้อต้มแค่หนึ่งหม้อต้มที่ทำหน้าที่ทั้งชงเอสเพรสโซ และสตรีมนม โดยผู้ใช้งานจะต้องทำการเลือกว่าจะต้องการให้สกัดเอสเพรสโซ่ หรือสตรีมนม เพราะโดยทั่วไปแล้วการสตรีมนมจะใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าการสกัดกาแฟ การมีหม้อต้มแค่1หม้อ จึงถือเป็นข้อด้อยของเครื่องชงชนิดนี้ เพราะต้องรอหม้อต้มและต้องรอการปรับอุณหภูมิก่อนใช้งาน
เครื่องชงแบบหม้อต้มเดี่ยวบางชนิดนั้น จะใช้ก้านชงที่เรียกว่า pressurized portafilter หรือก้านชงแบบมีแรงดัน โดยก้านชงแบบนี้จะออกแบบมาเพื่อเลียนแบบลักษณะแรงต้านของก้านชงปกติที่ใช้กาแฟที่คั่วใหม่ บดละเอียดและอัดอย่างเหมาะสม ทำให้เมื่อเรานำกาแฟเก่าหรือกาแฟบดหยาบมาชง แล้วจะทำให้กาแฟออกมาดูครีม่าที่สวยงาม
- หม้อต้มแบบแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchange Boiler)
เป็นเครื่องที่พัฒนามาจากหม้อต้มเดี่ยว (Single Boiler) แต่ยังคงมีหม้อต้มแค่หม้อเดียว แต่จะมีท่อผ่ากลางหม้อต้ม ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนความร้อนของน้ำ ที่ไหลผ่านท่อน้ำกับหม้อต้ม จึงทำให้น้ำที่ไหลผ่านท่อมีความร้อนเช่นเดียวกัน โดยน้ำที่ไหลผ่านท่อจะส่งไปยังหัวกรุ๊ปเพื่อสกัดเอสเพรสโซ น้ำในหม้อต้มจึงใช้สตรีมนมเท่านั้น จึงสามารถทำทั้ง 2 อย่างพร้อมกันได้เวลาเดียวกันนั่นเอง แต่ทั้งนี้ก็อาจมีข้อด้อยคือหากสกัดเอรสเพรสโซ พร้อมกับการสตรีมนม อาจทำให้น้ำร้อนไม่ทันใช้งาน จึงมีปัญหาเรื่องอุณหภูมิของน้ำที่ไม่เสถียรนั่นเอง
- หม้อต้มคู่ (Double Boiler)
พัฒนาขึ้นมาจาก หม้อต้มแบบแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchange Boiler) เป็นเครื่องชงที่มีสองหม้อต้ม ที่แยกระหว่างการสกัดเอรสเพรสโซ และการสตรีมนมออกจากกัน ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิสำหรับการสตรีมนมได้อย่างดี แต่เครื่องในลักษณะนี้จะมีราคาที่สูง
- หม้อต้มคู่แบบแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchange Double Boiler)
โดยเป็นการออกแบบที่รวมข้อดีของหม้อต้มและเครื่องแบบแลกเปลี่ยนความร้อนเข้าด้วยกัน ที่น้ำจะมุ่งหน้าเข้าสู่หม้อต้มสำหรับการสกัดเอสเพรสโซ จะไหลผ่านหม้อต้มสำหรับการสตรีมนม ทำให้หม้อต้มสำหรับการสกัดเอรสเพรสโซมีความร้อนเพื่อทำให้อุณหภูมิในหม้อต้มเอรสเพรสโซมีความเสถียรมากขึ้น
- เครื่องชงแบบหลายหม้อต้ม (Multi Boiler)
เป็นระบบหม้อต้มที่จะพบในเครื่องชงกาแฟตัวใหญ่ ที่มี2หัวชงขึ้นไป เครื่องชงหลายหม้อต้มแบบแลกเปลี่ยนความร้อน แต่ละหัวชงก็จะมีหม้อต้มแยก และมีหม้อต้มใหญ่ในการสตรีมนม จึงสามารถตั้งอุณหภูมิของแต่ละหัวชงได้
วิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟ
- ต้องรู้จักยี่ห้อเครื่อง
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า ‘กาแฟ’ ถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากในหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้หลายประเทศมีการผลิตเครื่องชงกาแฟ จนมีหลายยี่ห้อนับไม่ถ้วน แต่ประเทศที่ผลิตเครื่องชงกาแฟ แล้วได้รับการยอมรับมากที่สุด ก็คือประเทศอิตาลี แต่ก็ยังมีอีกหลายสัญชาติที่เป็นที่ยอมรับ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สเปน เป็นต้น
- ลักษณะการทำงานของเครื่องชงกาแฟ
เครื่องชงกาแฟส่วนใหญ่ จะมีลักษณะการทำงานที่ใกล้เคียงกัน คือ การใช้แรงดันส่งผ่านน้ำร้อนมาที่หัวชง แต่ทั้งนี้อีกฟังก์ชันที่โดดเด่นในตัวเครื่องชงกาแฟนั่นก็คือ การควบคุมอุณหภูมิน้ำของเครื่องชง เพราะการจะทำให้กาแฟมีรสชาติที่ดียิ่งขึ้น คือการควบคุมอุณหภูมิน้ำในการชง จึงทำให้ผู้ผลิตนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถมาควบคุมอุณหภูมิของน้ำได้ดีที่สุด จึงเป็นจุดขายให้กับหลาย ๆยี่ห้อ
แต่ทั้งนี้ในการตัดสินใจซื้อเครื่องชงกาแฟนั้น ต้องคำนึงถึงส่วนอื่น ๆ ของเครื่องชงด้วย เช่น ระบบหัวชง มีการควบคุมไม่ให้ร้อนจนเกินไป วัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างภายใน และภายนอก ในบางรุ่นอาจจะมีการควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ มีหน้าจอดิจิตอลอีกด้วย
- การบริการหลังการขาย
การซื้อเครื่องชงกาแฟที่มีราคาแพงนั้น การใช้งานจึงควรต้องระมัดระวัง เพราะเนื่องจากหากชำรุด ค่าบำรุงซ่อมแซมจึงมีราคาที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องชง จึงควรเช็กการบริการหลังการขาย เช่น ระยะประกันการคุ้มครอง การให้บริการการซ่อม ราคาอะไหล่ทีต้องซ่อม หรือมีศูนย์บริการในแต่ละภาค แต่ละจังหวัด เพื่อจะได้ให้บริการอย่างทันที แต่ทั้งนี้แม้ว่าร้านกาแฟ 2 ร้านจะใช้เครื่องงกาแฟยี่ห้อ และรุ่นเดียวกัน แต่อายุการใช้งานอาจต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาของผู้ใช้งานด้วย
การเลือกเครื่องชงที่ใช่ให้เหมาะสมกับร้าน
1. เครื่องชงขนาดบอยเลอร์เล็ก (300 cc) เหมาะสำหรับร้านกาแฟที่มีลูกค้าเข้ามาทีน้อย ๆ เช่น 1-2 คน หรือมีช่วงห่างของลูกค้าประมาณ 3-5 นาที
2. เครื่องชงขนาดบอยเลอร์กลาง (1.3 -2 ลิตร ) เหมาะสำหรับร้านกาแฟที่มีลักษณะลูกค้าที่เข้ามาเป็นกลุ่ม ทีละ 3-5 คน แต่ก็ยังพอมีช่วงห่าง ของลูกค้าบ้าง
3. เครื่องชงขนาดบอยเลอร์ใหญ่ (6.5 ลิตร ขึ้นไป) เหมาะกับร้านกาแฟขนาดใหญ่ ที่มีลูกค้าเข้าร้านอยู่ตลอดทั้งวัน มีกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่พร้อมกัน 8-10 คน
และเครื่องชงกาแฟที่เหมาะสำหรับการลทุนในตลาดกาแฟสดบ้านเรา จะอยู่ประมาณ 25,000-100,000 บาท สำหรับเครื่อง 1 หัว ส่วนเครื่อง 2 หัว ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 90,000-200,000 บาท สำหรับใครที่อยากวางแผนเปิดร้านนาน ๆ ควรลงทุนครั้งเดียวกับเครื่องกาแฟดี ๆ เพราะสามารถรองรับยอดขายที่สูงนั้นจะช่วยให้ประหยัดเงินทุนไปได้มาก
ฉะนั้นก่อนเลือกเครื่องชงกาแฟ ควรเลือกให้เข้ากับร้านกาแฟของเราว่าควรใช้ขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพราะขนาดของเครื่องชงจะต่างกันตรงที่มีขนาดบอยเลอร์ (หม้อต้มน้ำ) และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ต่างกัน แต่เครื่องชงขนาดใหญ่จะมีความสามารถในการชงกาแฟต่อเนื่องได้ดีกว่า เพราะจะช่วยให้อุณหภูมิน้ำที่ใช้ชงกาแฟเสถียรกว่าเมื่อมีการชงต่อเนื่อง
แต่ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมว่าราคาที่เราจะขายกาแฟด้วย เพราะการวางแผนในการตั้งราคาอยู่ในช่วง 20-45 บาท นั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อเรื่องชงกาแฟที่สูงมากนัก เพราะจะทำให้ใช้เวลาในการคืนทุนยาวนานไปด้วย