เมล็ดกาแฟคั่ว ยี่ห้อไหนดี? 10 ยี่ห้อที่ตอบโจทย์ร้านกาแฟ!

สำหรับผู้ประกอบการร้านกาแฟหรือเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่ม หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะตัดสินความสำเร็จและสร้างความแตกต่างให้กับร้านของคุณได้นั้นคือ "คุณภาพของเมล็ดกาแฟคั่ว" การเลือกเมล็ดกาแฟที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้รสชาติเครื่องดื่มไม่คงที่ ลูกค้าไม่ประทับใจ และส่งผลกระทบต่อยอดขายในระยะยาว แต่ไม่ต้องกังวลไป! บทความนี้จะนำเสนอ "เมล็ดกาแฟคั่ว ยี่ห้อไหนดี?" 10 ยี่ห้อเมล็ดกาแฟคั่วสุดปัง! ที่ร้านกาแฟและผู้ประกอบการจำนวนมากเลือกใช้แล้วประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางให้คุณตัดสินใจเลือกเมล็ดกาแฟที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ

ทำไมการเลือกเมล็ดกาแฟคั่วจึงสำคัญต่อธุรกิจร้านกาแฟ?

การลงทุนกับเมล็ดกาแฟคั่วที่ดีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่คือการลงทุนในอนาคตของธุรกิจคุณ :

  • รสชาติคือหัวใจสร้างลูกค้าประจำ : ลูกค้าจะกลับมาหาคุณก็ต่อเมื่อรสชาติกาแฟของคุณถูกปากและคงที่ เมล็ดกาแฟที่ดีมีส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
  • คุณภาพสม่ำเสมอสร้างมาตรฐาน : การได้รับเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพและโปรไฟล์รสชาติที่สม่ำเสมอจากโรงคั่ว จะช่วยให้บาริสต้าของคุณสามารถชงกาแฟได้รสชาติเดิมทุกแก้ว สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  • ตอบโจทย์ทุกเมนู เพิ่มโอกาสการขาย : เมล็ดกาแฟที่ดียืดหยุ่นพอที่จะนำไปรังสรรค์ได้หลากหลายเมนู ทั้งกาแฟดำ กาแฟนม หรือแม้แต่กาแฟผสมอื่นๆ ทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย
  • ความคุ้มค่าและผลกำไร : เมล็ดกาแฟคุณภาพไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป การเลือกเมล็ดกาแฟที่ให้รสชาติดีในราคาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณบริหารจัดการต้นทุนและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน

หลักการพิจารณาเลือกเมล็ดกาแฟคั่วสำหรับร้านกาแฟ

ก่อนจะไปดู 10 ยี่ห้อเด็ด ลองมาทำความเข้าใจหลักการสำคัญในการเลือกเมล็ดกาแฟคั่วกันก่อน :

สายพันธุ์กาแฟ :

  • อาราบิก้า (Arabica) : ให้รสชาติที่ซับซ้อนกว่า มีกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้ ถั่ว หรือช็อกโกแลต มีคาเฟอีนต่ำกว่า เหมาะสำหรับกาแฟดำและกาแฟนมที่ต้องการรสชาติละมุน
  • โรบัสต้า (Robusta) : ให้รสชาติที่เข้มข้น บอดี้หนัก มีคาเฟอีนสูงกว่า ให้ครีม่าที่สวยงาม เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟเข้มข้น หรือใช้เป็นส่วนผสมใน Blend เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและครีม่า
  • Blend (เบลนด์) : การผสมผสานระหว่างอาราบิก้าและโรบัสต้าในสัดส่วนต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติที่ลงตัวและตอบโจทย์เมนูเฉพาะ

ระดับการคั่ว :

  • คั่วอ่อน (Light Roast) : รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นหอมผลไม้หรือดอกไม้ สัมผัสถึงคาแรกเตอร์ของเมล็ดกาแฟได้ชัดเจน
  • คั่วกลาง (Medium Roast) : รสชาติสมดุล มีความหอมหวาน บอดี้ปานกลาง เป็นระดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
  • คั่วเข้ม (Dark Roast) : รสชาติเข้มข้น ขม บอดี้หนักแน่น มักมีกลิ่นช็อกโกแลต ดาร์กช็อกโกแลต ถั่ว หรือกลิ่นควัน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบกาแฟเข้มข้น

แหล่งที่มา/แหล่งเพาะปลูก : กาแฟจากแต่ละแหล่งจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น กาแฟไทยจากดอยต่าง ๆ มักมีกลิ่นหอมเฉพาะและรสชาติที่แตกต่างกัน

โปรไฟล์รสชาติ (Flavor Profile) : พิจารณาว่าเมล็ดกาแฟนั้นให้รสชาติและกลิ่นไปในโทนใด (เช่น ช็อกโกแลต, คาราเมล, ถั่ว, ฟรุตตี้, ดอกไม้) เพื่อให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของร้าน

ความสม่ำเสมอของล็อต (Batch Consistency) : สิ่งสำคัญสำหรับร้านกาแฟคือเมล็ดกาแฟที่ได้รับในแต่ละครั้งควรมีคุณภาพและรสชาติที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้รับรสชาติที่คุ้นเคย

ราคาและช่องทางการจัดจำหน่าย : พิจารณาต้นทุนต่อแก้ว และความสะดวกในการสั่งซื้อและการจัดส่ง

10 ยี่ห้อ "เมล็ดกาแฟคั่ว ยี่ห้อไหนดี?" ที่ร้านกาแฟและผู้ประกอบการเลือกใช้แล้วปัง!

1. Pacamara (House Blend)

เมล็ดกาแฟ "อาราบิก้า 100%" ที่คั่วในระดับกลาง เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเมล็ดกาแฟจากไทยและต่างประเทศ มอบรสชาติที่ซับซ้อน กลมกล่อม บอดี้แน่น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว โดยมักพบกลิ่นออกโทนช็อกโกแลต คาราเมล และถั่ว

  • เหมาะสำหรับเมนู : หลากหลายเมนูทั้งกาแฟดำ (อเมริกาโน่) ที่ต้องการความกลมกล่อม และกาแฟนม (ลาเต้, คาปูชิโน่) ที่รสชาติกาแฟไม่ถูกกลบด้วยนม
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการเมล็ดกาแฟคุณภาพพรีเมียม รสชาติเป็นสากล และสามารถใช้เป็น House Blend หลักของร้านที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้ดี
  • ราคา : 250 กรัม 240 บาท

2. Bluekoff (Blue Special Blend)

เป็น "เบลนด์พิเศษ" ที่คัดสรรมาอย่างดีจาก Bluekoff ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟไทย ให้รสชาติที่สมดุลและมีเอกลักษณ์ มีโปรไฟล์ที่เข้าถึงง่าย แต่ยังคงความซับซ้อนของกลิ่นและรสชาติที่น่าสนใจ

  • เหมาะสำหรับเมนู : ทุกเมนูกาแฟตั้งแต่เอสเพรสโซ่ไปจนถึงเมนูกาแฟนมยอดนิยม ให้รสชาติที่ลงตัวไม่ว่าจะชงแบบไหน เหมาะสำหรับการสร้างมาตรฐานให้กับเมนูกาแฟในร้าน
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการเมล็ดกาแฟคุณภาพดี มีความสม่ำเสมอ สามารถสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย และต้องการกาแฟที่มาจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ
  • ราคา : 250 กรัม 230 บาท

3.Pangkhon Coffee Roaster (Brazil Cerrado Jaguar)

กาแฟ "Single Origin" จากแหล่งเพาะปลูก Cerrado Jaguar ในบราซิล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของคุณภาพ ให้รสชาติที่คุ้นเคยในโทน "นัตตี้ (Nutty)" ช็อกโกแลต และมีความหวานคล้ายคาราเมล มีบอดี้ปานกลางถึงแน่น คั่วในระดับกลางที่ดึงความหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟบราซิลออกมาได้อย่างดี

  • เหมาะสำหรับเมนู : กาแฟดำที่เน้นรสชาติเฉพาะของแหล่งเพาะปลูก เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความพิเศษของกาแฟบราซิล หรือใช้เป็นเบสสำหรับกาแฟนมที่ต้องการความกลมกล่อมและกลิ่นหอมเฉพาะตัว
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการเสนอกาแฟ Single Origin ที่มีโปรไฟล์รสชาติคลาสสิก เข้าถึงง่าย และคุณภาพดี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
  • ราคา : 250 กรัม 189 บาท

4. Doitung (Classic Roast Arabica Coffee)

เป็น "อาราบิก้าแท้ 100%" จากโครงการพัฒนาดอยตุง แบรนด์กาแฟไทยที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ คั่วในระดับ Classic Roast ที่เน้นความสมดุลของรสชาติ กลิ่นหอม และความสดชื่น ให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟไทยคุณภาพที่ดื่มง่าย

  • เหมาะสำหรับเมนู : กาแฟร้อน และกาแฟเย็นโดยเฉพาะเมนูกาแฟดำที่ต้องการสัมผัสรสชาติของเมล็ดกาแฟอาราบิก้าไทยแท้ๆ ที่มีคุณภาพและมีเรื่องราว
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการสนับสนุนผลผลิตของไทย ต้องการนำเสนอกาแฟไทยพรีเมียม ที่มีเรื่องราวเบื้องหลัง และต้องการความเชื่อมั่นในคุณภาพจากแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก
  • ราคา : 200 กรัม 250 บาท

5. Café Amazon (Selection Roasted Coffee Bean)

เมล็ดกาแฟคั่วจาก Café Amazon ซึ่งเป็นแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักดี มีโปรไฟล์รสชาติที่เข้มข้น ดื่มง่าย เหมาะกับคนหมู่มาก ให้บอดี้หนักแน่น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่โดดเด่น ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและตอบโจทย์ลูกค้าส่วนใหญ่

  • เหมาะสำหรับเมนู : กาแฟเย็น และเมนูผสมนมที่ต้องการความเข้มข้น เพื่อให้รสชาติกาแฟยังคงโดดเด่นแม้ผสมส่วนผสมอื่นๆ เช่น เมนูกาแฟปั่น
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการเมล็ดกาแฟที่เข้าถึงง่าย มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และให้ความมั่นใจในรสชาติที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจกาแฟ
  • ราคา : 250 กรัม 230 บาท

6. Doi Chaang (Premium Classic)

เป็น "เบลนด์" ที่ลงตัวระหว่างอาราบิก้าและโรบัสต้า คัดสรรจากแหล่งปลูกดอยช้าง จังหวัดเชียงราย ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกาแฟคุณภาพ การผสมผสานนี้จะให้ความเข้มข้น ของโรบัสต้า และกลิ่นหอม รวมถึงรสชาติที่ซับซ้อนของอาราบิก้า ทำให้ได้กาแฟที่ทั้งหอมและเข้มข้นในคราวเดียวกัน

  • เหมาะสำหรับเมนู : กาแฟเย็นทุกชนิด โดยเฉพาะเมนูกาแฟนมและเมนูที่มีส่วนผสมอื่นๆ ที่ต้องการความเข้มข้นของกาแฟที่ชัดเจน เพื่อให้รสชาติกาแฟไม่จมไปกับส่วนผสมอื่น
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการเมล็ดกาแฟที่มีความเข้มข้น เหมาะสำหรับชงกาแฟเย็น และเมนูที่มีนมเป็นส่วนประกอบหลัก โดยยังคงคุณภาพของกาแฟไทย
  • ราคา : 250 กรัม 270 บาท

7. The Coffee Bean (Espresso)

เน้นการ "คั่วเข้มมาก" เพื่อดึงรสชาติที่เข้มข้น จัดจ้าน บอดี้หนักแน่น และมีกลิ่นหอมออกโทนดาร์กช็อกโกแลตหรือถั่วคั่วไหม้เล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเข้มข้นถึงใจ และต้องการความโดดเด่นของรสชาติกาแฟ

  • เหมาะสำหรับเมนู : เอสเพรสโซ่ และกาแฟดำ ที่ต้องการความเข้มข้นสูงสุด รวมถึงเมนูกาแฟเย็นที่ต้องการรสชาติกาแฟที่เด่นชัด เพื่อให้ได้เครื่องดื่มที่ให้ความตื่นตัวสูง
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่เน้นเมนูเอสเพรสโซ่ หรือเมนูที่ต้องการความเข้มข้นสูง เพื่อให้ได้รสชาติที่หนักแน่นและโดดเด่น ตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบกาแฟรสจัด
  • ราคา : 200 กรัม 135 บาท

8. Illy (Classic)

แบรนด์กาแฟระดับโลกจากอิตาลี illy Classico เป็นเบลนด์อาราบิก้า 100% ที่คั่วในระดับกลาง ให้รสชาติที่สมดุล นุ่มนวล มีกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้แห้ง และคาราเมลเล็กน้อย มีความสม่ำเสมอสูง ทำให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพในทุกแก้ว

  • เหมาะสำหรับเมนู : เอสเพรสโซ่ และกาแฟดำที่ต้องการความซับซ้อนของรสชาติ รวมถึงกาแฟนมที่ต้องการความหอมนุ่มนวลและบอดี้ที่ไม่หนักจนเกินไป
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์พรีเมียม ให้บริการกาแฟคุณภาพสูง และต้องการความมั่นใจในรสชาติที่คงที่จากแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ
  • ราคา : 250 กรัม 695 บาท

9. Bluemocha (BL-59)

เป็น "เบลนด์ที่ลงตัว" ระหว่างอาราบิก้าน่านคั่วเข้ม 60% และโรบัสต้าชุมพร 40% ผ่านกรรมวิธีเฉพาะของ Bluemocha ซึ่งเป็นโรงคั่วชาเชียงใหม่ ทำให้ได้กาแฟคั่วเข้มที่มีกลิ่นหอม รสชาติเข้มข้น แต่ยังคงความซับซ้อนของอาราบิก้า มีบอดี้ที่ดีและครีม่าที่สวยงาม

  • เหมาะสำหรับเมนู : ทุกเมนูกาแฟ ตั้งแต่เอสเพรสโซ่ไปจนถึงกาแฟนม เพราะให้รสชาติที่เข้มข้น มีบอดี้ และมีกลิ่นหอมที่สามารถตัดกับนมได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับเมนูกาแฟเย็น
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่มองหาเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม ที่ให้ความหอมและบอดี้ที่แน่น เหมาะกับการชงได้หลากหลายเมนู และใช้ได้กับเครื่องชงหลากหลายขนาด รวมถึงผู้ที่ต้องการสนับสนุนโรงคั่วในประเทศ
  • ราคา : 250 กรัม 133 บาท

10. Hillkoff (Mae Salong Chiang Rai)

"อาราบิก้าแท้ 100%" จากดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของไทย ให้รสชาติและกลิ่นอายของกาแฟไทยที่สะอาด มีความเปรี้ยวอมหวาน และกลิ่นหอมที่สดชื่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

  • เหมาะสำหรับเมนู : กาแฟดำโดยเฉพาะเมนูกาแฟร้อนที่ต้องการสัมผัสรสชาติกาแฟจากแหล่งเดียวที่ชัดเจนและมีมิติ หรือใช้เป็นเบลนด์เพื่อเพิ่มความซับซ้อนให้กับกาแฟนม
  • เหมาะกับใคร : ร้านกาแฟที่ต้องการนำเสนอ กาแฟ Single Origin จากภาคเหนือของไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ่งบอกถึงคุณภาพของกาแฟไทย และสร้างความแตกต่างให้กับเมนูกาแฟของร้าน
  • ราคา : 250 กรัม 180 บาท

Tip : เพื่อให้แน่ใจว่าเมล็ดกาแฟยี่ห้อไหนเหมาะสมกับร้านของคุณที่สุด ลองสั่งซื้อถุงเล็กๆ มาทดลองชงและให้ทีมงาน รวมถึงลูกค้าประจำของคุณได้ลองชิมก่อนตัดสินใจสั่งซื้อในล็อตใหญ่

เคล็ดลับ : การบริหารจัดการ "เมล็ดกาแฟคั่ว" ในร้านกาแฟ

การเลือกเมล็ดกาแฟที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยคงคุณภาพของกาแฟให้ดีที่สุด :

  • การเก็บรักษาที่เหมาะสม : เก็บเมล็ดกาแฟไว้ในภาชนะทึบแสง ปิดสนิท หลีกเลี่ยงแสงแดด ความร้อน และความชื้น ไม่ควรเก็บในตู้เย็น (ยกเว้นในช่องแช่แข็งสำหรับปริมาณมากและมีการซีลสูญญากาศอย่างดี)
  • การพักกาแฟ (Degassing) : เมล็ดกาแฟที่เพิ่งคั่วเสร็จใหม่ๆ จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ควรพักเมล็ดกาแฟไว้ 7-14 วันหลังวันคั่ว เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุดก่อนนำมาชง
  • การปรับสูตร/บด/สกัด : แต่ละเมล็ดกาแฟและแต่ละระดับการคั่วมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ควรปรับระดับการบด อุณหภูมิน้ำ และเวลาในการสกัดให้เหมาะสม เพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดออกมา
  • การจัดการสต็อก : ไม่ควรสต็อกเมล็ดกาแฟไว้เยอะเกินไป ควรสั่งซื้อในปริมาณที่ใช้หมดภายใน 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้เมล็ดกาแฟยังคงความสดใหม่และมีคุณภาพดีที่สุด

การเลือกเมล็ดกาแฟคั่วที่ดีที่สุดสำหรับร้านกาแฟของคุณคือการลงทุนที่สำคัญและคุ้มค่า การพิจารณาทั้งในด้านสายพันธุ์ ระดับการคั่ว โปรไฟล์รสชาติ และความสม่ำเสมอของเมล็ดกาแฟจากแต่ละแบรนด์ จะช่วยให้คุณสามารถนำเสนอเครื่องดื่มคุณภาพเยี่ยมที่ถูกใจลูกค้า และสร้างความโดดเด่นให้กับธุรกิจของคุณได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) สำหรับผู้ประกอบการร้านกาแฟ

คำถาม : ควรสั่งซื้อเมล็ดกาแฟคั่วในปริมาณเท่าไหร่ดีสำหรับการเริ่มต้นร้านกาแฟ?

คำตอบ : สำหรับการเริ่มต้น แนะนำให้สั่งในปริมาณที่เพียงพอต่อการใช้งานประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อรักษากาแฟให้สดใหม่ และลดความเสี่ยงจากการที่กาแฟค้างสต็อกนานเกินไป เมื่อเริ่มเห็นยอดขายที่ชัดเจนขึ้น ค่อยปรับปริมาณการสั่งให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้จริงและรอบการส่งของจากโรงคั่ว

คำถาม : โรงคั่วมีบริการให้คำปรึกษาหรือชิมเมล็ดกาแฟก่อนตัดสินใจซื้อหรือไม่?

คำตอบ : โรงคั่วส่วนใหญ่มีบริการนี้ โดยเฉพาะโรงคั่วที่เน้นการขายส่งให้กับร้านกาแฟ ผู้ประกอบการควรติดต่อโรงคั่วโดยตรงเพื่อสอบถามเรื่องการขอตัวอย่าง (Sample) การทดลองชิม (Cupping) หรือการให้คำปรึกษาเรื่องโปรไฟล์กาแฟที่เหมาะสมกับร้านของคุณ

คำถาม : ราคาเมล็ดกาแฟคั่วแบบขายส่งแตกต่างจากราคาปลีกมากน้อยแค่ไหน?

คำตอบ : แตกต่างกันมากพอสมควร โดยทั่วไปราคาขายส่ง (Wholesale Price) สำหรับผู้ประกอบการจะถูกกว่าราคาปลีกค่อนข้างมาก ขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งซื้อ (ยิ่งสั่งมาก ราคายิ่งถูก) และนโยบายของโรงคั่วนั้นๆ ควรสอบถามเงื่อนไขและราคาสำหรับธุรกิจโดยตรง

คำถาม : มีข้อควรระวังอะไรบ้างเมื่อเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วในปริมาณมาก?

คำตอบ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมล็ดกาแฟที่ได้รับเป็น "กาแฟคั่วสดใหม่" (โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 1-2 สัปดาห์นับจากวันคั่ว) การเก็บรักษา วางแผนพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงแสงแดด ความร้อน และความชื้น ตรวจสอบว่าคุณภาพและรสชาติของเมล็ดกาแฟแต่ละล็อตที่สั่งซื้อมีความสม่ำเสมอหรือไม่ สอบถามนโยบายจากโรงคั่วหากเกิดปัญหาด้านคุณภาพ

คำถาม : ควรใช้เครื่องบดกาแฟแบบไหนให้เหมาะสมกับเมล็ดกาแฟและเครื่องชงในร้าน?

คำตอบ : การลงทุนกับ เครื่องบดคุณภาพดี สำคัญไม่แพ้เมล็ดกาแฟ โดยทั่วไปร้านกาแฟควรใช้เครื่องบดแบบ Burr Grinder (บดด้วยเฟือง) ที่สามารถปรับระดับความละเอียดได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เหมาะกับการชงกาแฟแต่ละประเภท (เช่น บดละเอียดสำหรับเอสเพรสโซ่, บดหยาบขึ้นสำหรับกาแฟดริป) และควรเลือกเครื่องบดที่มีกำลังการบดเพียงพอต่อปริมาณการใช้งานในแต่ละวัน

โรงงานผลิตชาเชียงใหม่ Bluemocha ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบครบวงจรสำหรับธุรกิจกาแฟ-ชา

นอกเหนือจากเมล็ดกาแฟคั่วคุณภาพเยี่ยมแล้ว โรงงานผลิตชาเชียงใหม่ Bluemocha ยังเป็นพันธมิตรที่ครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการร้านกาแฟและชา ด้วยประสบการณ์กว่า 18 ปีในธุรกิจชาและกาแฟ Bluemocha ไม่เพียงแต่จำหน่ายเมล็ดกาแฟ แต่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาและวัตถุดิบเครื่องดื่มอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมบริการที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจ Bluemocha โดดเด่นด้วยการให้บริการที่หลากหลาย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จ

รับผลิตชา OEM & ODM :

  • OEM (Original Equipment Manufacturer): รับผลิตชาภายใต้แบรนด์ของคุณเอง พร้อมบริการครบวงจรตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการบรรจุ
  • ODM (Original Design Manufacturer): บริการพัฒนาสูตรชาให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคุณ โดยมีวัตถุดิบใบชากว่า 50 ชนิดให้เลือกสรร ทั้งชาไทย ชาเขียว ชาไต้หวัน และผงโกโก้
  • เหมาะสำหรับ : คาเฟ่ที่ต้องการรสชาติเครื่องดื่มหลากหลาย, แฟรนไชส์ที่ต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก, โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการผงชาปริมาณสูง
  • คุณภาพและกำลังการผลิตสูง : ด้วยกระบวนการผลิตที่สะอาด ถูกหลักอนามัย และกำลังการผลิตที่สูง Bluemocha สามารถรองรับความต้องการใบชาปริมาณมากได้อย่างไร้กังวล
  • มาตรฐานระดับสากล : ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดได้รับมาตรฐานรับรองจาก HACCP, GHPs, อย., USFDA และเครื่องหมายรับรองฮาลาล (HALAL) สร้างความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย
  • บริการส่งออกชา : Bluemocha มีประสบการณ์ในการนำเข้าและส่งออกใบชาไปยังกว่า 18 ประเทศทั่วโลก พร้อมบริการขนส่งทางเรือและเครื่องบิน ที่รวดเร็วและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาสูตรชาให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศปลายทาง

สิทธิพิเศษและบริการเสริมสำหรับลูกค้า "Bluemocha"

Bluemocha เข้าใจถึงความต้องการของธุรกิจ จึงมอบสิทธิประโยชน์และบริการเสริมมากมายเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ :

  • Points & Rewards : สะสมคะแนนจากการซื้อสินค้า เพื่อแลกของรางวัลมากกว่า 200 รายการฟรี
  • Free Tobi POS : ใช้งานระบบคิดเงินหน้าร้าน (POS) ฟรี ไม่มีวันหมดอายุ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน (จากปกติ 129 บาท/เดือน)
  • Free Online Courses : คอร์สเรียนออนไลน์ฟรี! สอนตั้งแต่พื้นฐานการเปิดร้าน เทคนิค และสูตรชงเครื่องดื่มต่างๆ ดูได้ตลอดชีพ
  • Promotions Discount : รับโปรโมชั่น ส่วนลด และของแถมพิเศษทุกเดือน รวมถึงโปรโมชั่นส่งฟรีในเดือนเกิด

Tags